แผลกดทับ ภัยร้ายสำหรับผู้ป่วยติดเตียง

แผลกดทับ ภัยร้ายสำหรับผู้ป่วยติดเตียง

Post Date : October 28, 2025

ในสถานการณ์ที่ผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยติดเตียงไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายเองได้อย่างอิสระ “แผลกดทับ” (Pressure Ulcer) นับเป็นภาวะหนึ่งที่มีความเสี่ยงสูงและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างจริงจัง ภาวะนี้เกิดขึ้นจากแรงกดทับที่เกิดขึ้นเป็นระยะเวลานานบริเวณผิวหนังที่อยู่ใกล้ปุ่มกระดูก เช่น บริเวณก้นกบ (บริเวณกระดูกก้น) ส้นเท้า และสะโพก ซึ่งนำไปสู่การไหลเวียนเลือดไม่สะดวก เนื้อเยื่อขาดออกซิเจน และอาจตายในที่สุด หากไม่ได้รับการดูแลอย่าง เหมาะสม สำหรับผู้ที่อยู่ในความดูแลของ บ้านลลิสา (สาขาเมืองเชียงใหม่) ซึ่งเป็นศูนย์ดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยระยะพักฟื้นที่เน้นดูแลผู้ป่วยติดเตียงอย่างใกล้ชิด บทความนี้จะช่วยให้ญาติและผู้ดูแลเข้าใจถึงสิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับแผลกดทับ ตั้งแต่สาเหตุ วิธีสังเกต อาการ วิธีดูแลเมื่อเกิด และแนวทางป้องกันอย่างเป็นระบบ เพื่อเสริมความเชื่อมั่นว่า ผู้ป่วยอยู่ในมือที่ปลอดภัยและได้คุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด

1.ทำความเข้าใจแผลกดทับ

1.1 แพลกดทับคืออะไร?

ภาวะแผลกดทับ หรือที่บางครั้งถูกเรียกว่า bedsore หรือ pressure injury คือการบาดเจ็บของผิวหนังและ/หรือเนื้อเยื่อใต้ผิว เนื่องจากถูกกดทับหรือเสียดสีเป็นเวลานานจนกระทั่งการไหลเวียนเลือดถูกขัดขวาง ทำให้เนื้อเยื่อขาดออกซิเจนและสารอาหาร จนเกิดการตายของเซลล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เอง หรือเคลื่อนไหวได้น้อย แรงกดทับที่ผิวบริเวณปุ่มกระดูก (เช่น ส้นเท้า ก้นกบ สะโพก) จะสะสมจนเกิดความเสียหายได้ง่าย

1.2 กลไกการเกิดแผลกดทับ

เมื่อร่างกายอยู่ในท่าเดียวกันนาน เลือดที่ควรไปเลี้ยงบริเวณผิวหนังถูกกดเบียด ทำให้เซลล์ในพื้นที่นั้นขาดออกซิเจนและสารอาหาร ภาวะนี้เรียกว่า ischemia ซึ่งต่อเนื่องไปสู่ reperfusion injury และการอักเสบของเนื้อเยื่อ
นอกจากนี้ แรงเสียดสี (friction) หรือ แรงเฉือน (shear) จากการลื่นไถลบนผ้าปูที่นอนหรือบนเก้าอี้ ก็สามารถทำให้ผิวหนังและเนื้อเยื่อใต้ผิวได้รับความเสียหาย

2. บริเวณที่พบบ่อย และผู้ที่มีความเสี่ยงสูง

2.1 บริเวณที่พบบ่อย

บริเวณที่มีโอกาสเกิดแผลกดทับสูง ได้แก่ :

  • ก้นกบ (บริเวณกระดูกก้น)
  • ส้นเท้า
  • สะโพก (บริเวณ trochanter)
  • ข้อศอก
  • บ่า/หลัง/ไหล่ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่นอนตะแคงหรือเอนตัวหลายชั่วโมง

2.2 ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง

กลุ่มที่ควรระวังเป็นพิเศษ เช่น :

  • ผู้ป่วยที่ติดเตียง เคลื่อนไหวไม่ได้หรือเคลื่อนไหวได้น้อย
  • มีภาวะทุพโภชนาการ น้ำหนักตัวน้อย
  • มีปัญหาด้านควบคุมปัสสาวะหรืออุจจาระ (ทำให้ผิวหนังเปียกชื้น)
  • ผู้ที่มีอายุมาก หรือร่างกายอ่อนแอจากโรคประจำตัว

3. อาการและการจำแนกระดับความรุนแรง

3.1 สัญญาณเตือนตั้งแต่เริ่มต้น

  • ผิวหนังบริเวณที่ถูกกดทับแดง ไม่หายหลังจากเปลี่ยนท่า
  • อาจมีตุ่มน้ำ หรือผิวรู้สึกอุ่นและแข็งขึ้น
  • ผู้ป่วยอาจรู้สึกเจ็บหรือเพียงรู้สึกไม่สบายในบริเวณนั้น

3.2 ระยะรุนแรงและอาการแทรกซ้อน

เมื่อแผลกดทับ ดำเนินไป อาจมี :

  • แผลลึกเห็นเนื้อเยื่อใต้ผิวหรือกระดูก
  • มีหนองหรือการติดเชื้อ ซึ่งอาจลุกลามไปยังข้อ หรือกระดูก (เช่น osteomyelitis)
  • หากรักษาไม่ถูกวิธี อาจเกิดภาวะ sepsis ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต

4. การจำแนกระดับความรุนแรง (Staging)

ระบบจำแนกระดับแผลกดทับ มีหลายแบบ โดยทั่วไปแบ่งเป็น 4 หรือ 5 ระดับ ได้แก่ :

  • ระดับ 1 (ผิวแดงไม่ลอก)
  • ระดับ 2 (ผิวลอกหรือมีแผลตื้น)
  • ระดับ 3 (แผลลึกถึงชั้นเนื้อเยื่อใต้ผิว)
  • ระดับ 4 (แผลลึกถึงกระดูก หรือมีการติดเชื้ออย่างรุนแรง)
    การจำแนกระดับช่วยให้เลือกวิธีดูแลรักษาได้เหมาะสม

5. วิธีดูแลเมื่อเกิดแผลกดทับ

5.1 การดูแลในระยะเริ่มต้น (ผิวแดง / ตุ่มน้ำ)

เมื่อพบผิวแดงหรือมีตุ่มน้ำ ซึ่งเป็นลักษณะแรกของแผลกดทับ ควรดำเนินการดังนี้ :

  1. ทำความสะอาดบริเวณแผลด้วยน้ำเกลือหรือน้ำสะอาดอย่างอ่อนโยน
  2. ปิดแผลด้วย Hydrocolloid หรือวัสดุปิดแผลที่เหมาะสม
  3. หลักเลี่ยงการกดทับบริเวณแผลทันที เช่น ปรับเปลี่ยนท่า พลิกตัวผู้ป่วย และใช้หมอนรองจุดเสี่ยง

5.2 การดูแลในระยะรุนแรง (แผลลึก / มีหนอง / เห็นเนื้อเยื่อ/กระดูก)

เมื่อแผลเข้าสู่ระดับรุนแรง ควรปฏิบัติดังนี้ :

  1. ติดต่อ แพทย์ โดยด่วน เพื่อประเมินอาการและระบุแนวทางรักษา
  2. แพทย์อาจพิจารณาตัดเนื้อตาย (debridement) และใช้วัสดุปิดแผลเฉพาะทาง
  3. ใช้อุปกรณ์รองรับการลดแรงกด เช่น ที่นอนลม หรือแผ่นรองความกด (support surface) ร่วมกับการพลิกตัวผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ
  4. ดูแลเรื่องโภชนาการให้เหมาะสม โปรตีน และปริมาณน้ำในร่างกาย เพื่อส่งเสริมการรักษาแผล

5.3 การดูแลทั่วไปจากบุคลากรในศูนย์ดูแล

  • ผู้ดูแลควรมีแผนการพลิกตัวผู้ป่วยทุก 2 ชั่วโมง หรือเร็วกว่านั้นตามความเสี่ยงของผู้ป่วย
  • ใช้อุปกรณ์เสริม เช่น หมอนรองจุดเสี่ยง ที่นอนลมหรือแผ่นรองความกด เพื่อช่วยลดแรงบนผิวหนัง
  • ตรวจสอบสภาพผิวหนังทุกวัน โดยเฉพาะจุดที่เสี่ยง เส้นเลือดแคบ หรือมีแดดร้อน หรือ สีผิวผิดปกติ
  • ปฏิบัติตามแนวทางการดูแลผิว เช่น ทำความสะอาดทันทีหลังขับถ่าย รักษาผิวให้แห้ง และหลีกเลี่ยงผ้าปูที่มีรอยยับหรือสีนูน

6. วิธีป้องกันการเกิดแผลกดทับ

6.1 เปลี่ยนท่าพลิกตัวอย่างสม่ำเสมอ

หนึ่งในมาตรการป้องกันที่สำคัญที่สุดคือการพลิกตัวผู้ป่วยทุก 2 ชั่วโมง ทั้งกลางวันและกลางคืน (หรือบ่อยกว่านั้นเมื่อจำเป็น) เพื่อกระจายแรงกดทับและกระตุ้นการไหลเวียนเลือด
การไม่ให้ผู้ป่วยอยู่ท่าเดียวเป็นเวลานานช่วยลดโอกาสการเกิดแผลอย่างชัดเจน

6.2 ใช้อุปกรณ์ลดแรงกด และรองจุดเสี่ยง

  • ใช้ที่นอนลม หรือแผ่นรองความกด (support surfaces) เพื่อกระจายแรงกด
  • ใช้หมอนรอง รองจุดที่มักถูกกดทับ เช่น ข้อศอก ส้นเท้า สะโพก และก้นกบ
  • หลีกเลี่ยงการใช้หมอนหรืออุปกรณ์ที่ทำให้ผู้ป่วยลื่นหรือล้ม

6.3 รักษาความสะอาด และความแห้งของผิวหนัง

  • ตรวจสอบและทำความสะอาดบริเวณผิวที่อับชื้น เช่น หลังขับถ่าย หรือบริเวณที่สัมผัสปัสสาวะ/อุจจาระทันที
  • ใช้ครีมหรือโลชันที่เหมาะสมในการบำรุงผิว โดยเฉพาะผิวที่แห้งหรือมีความเสี่ยง
  • เลือกชุดนอนหรือผ้าปูที่ไม่ยับ ไม่ชนิดหนาหรือมีรอยเย็บ/กระดุมที่อาจกดทับผิว

6.4 นวดเบา ๆ และกระตุ้นการไหลเวียนเลือด

การนวดเบา ๆ บริเวณจุดที่มีความเสี่ยง (โดยผู้ดูแลหรือผู้เชี่ยวชาญ) ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและลดความเสี่ยงของการเกิดแผล แม้จะเคลื่อนไหวน้อยก็ตาม
รวมถึงการช่วยให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวได้ในระดับที่เหมาะสม (หากสภาพอนุญาต)

6.5 โภชนาการและน้ำสำคัญ

ผิวหนังที่ได้รับสารอาหารและน้ำอย่างเพียงพอมีความทนทานต่อแรงกดและการเสื่อมสภาพได้ดีขึ้น มีงานวิจัยระบุว่า โภชนาการ‎ โปรตีนสูง และน้ำเพียงพอ ช่วยลดโอกาสเกิดแผลและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น

7. บทบาทของศูนย์ดูแลผู้สูงอายุในการป้องกัน และดูแลแผลกดทับ

7.1 บทบาทของทีมแพทย์ และนักบริบาล

ในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ เช่น บ้านลลิสา สาขาเชียงใหม่ ทีมแพทย์และนักบริบาลมีบทบาทสำคัญ ดังนี้ :

  • ประเมินความเสี่ยงของผู้ป่วยแต่ละคน (เช่น การเคลื่อนไหว, โภชนาการ, สภาพผิว)
  • วางแผนการพลิกตัวและลดแรงกดอย่างเหมาะสม
  • ใช้อุปกรณ์รองรับแรงกดให้เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละราย
  • ให้คำแนะนำแก่ญาติและผู้ดูแลเกี่ยวกับวิธีดูแลที่บ้านหรือในห้องพัก

7.2 การสร้างบรรยากาศเหมือนบ้านและความต่อเนื่องในการดูแล

ศูนย์ที่ให้บริการดูแลผู้ป่วยติดเตียงควรมีบรรยากาศอบอุ่นแบบบ้าน เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัย มีคนดูแลตลอด 24 ชั่วโมง และมีมาตรฐานการดูแลที่ใส่ใจในรายละเอียด เช่น การตรวจผิวหนัง, การพลิกตัว, การดูแลโภชนาการ และการสื่อสารกับญาติอย่างสม่ำเสมอ

7.3 การสร้างความร่วมมือกับญาติผู้ดูแล

  • ให้ญาติผู้ดูแลเข้าใจ “สัญญาณเตือน” ของแผลกดทับ
  • สอนวิธีพลิกตัวและการดูแลเบื้องต้น
  • แนะนำการเลือกที่นอน/หมอนรองที่เหมาะสมเมื่อกลับไปดูแลที่บ้าน
  • สื่อสารถึงความสำคัญของโภชนาการและการดูแลผิว

สรุป

แผลกดทับเป็นภาวะที่อาจเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้สูงอายุที่เคลื่อนไหวน้อย แต่หากได้รับการดูแลที่เหมาะสมตั้งแต่เนิ่น โอกาสเกิดและความรุนแรงของแผลสามารถลดลงได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากได้รับการสนับสนุนจากทีมดูแลที่มีความเชี่ยวชาญ รวมถึงญาติ ผู้ดูแล และสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย เช่น ที่นอนลม หมอนรองจุดเสี่ยง การพลิกตัวอย่างสม่ำเสมอ และโภชนาการที่ดี

สำหรับ บ้านลลิสา ซึ่งเน้นดูแลผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุอย่างใกล้ชิด พร้อมทีมแพทย์ นักบริบาล และบริการ 24 ชั่วโมง จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ไว้ใจได้หากญาติผู้ดูแลกำลังมองหาศูนย์ดูแลที่ครบวงจรและใส่ใจในทุกรายละเอียดของการดูแล รวมถึงการป้องกันภาวะแทรกซ้อนอย่าง แผลกดทับ

ให้เราได้เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลคุณ
ด้วยแพ็คเกจการดูแล ผู้สูงอายุ/ผู้ป่วยพักฟื้น

เริ่มต้นเพียงเดือนละ 𝟏𝟖,𝟎𝟎𝟎 บาท/เดือน

ราคาปกติ 25,000 บาท/เดือน