พลิกชีวิตผู้ป่วย Stroke ด้วยการฟื้นฟู

ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง หรือ Stroke มักประสบกับภาวะอัมพฤกษ์ อัมพาต ซึ่งส่งผลต่อการเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อ สมดุลร่างกาย และคุณภาพชีวิตโดยรวม การฟื้นฟูสมรรถภาพที่ถูกต้องและเหมาะสมจึงเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูชีวิตของผู้ป่วยให้กลับมามีความสุข และสามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากที่สุด ในบทความนี้เราจะพาทุกท่านไปรู้จักกับแนวทางการฟื้นฟูผู้ป่วย Stroke โดยเฉพาะที่ “บ้านลลิสา ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุเชียงใหม่” ที่เน้นการฟื้นฟูอย่างเข้าใจ เข้าถึง และเห็นผลจริง

1. เข้าใจโรค Stroke ก่อนเริ่มฟื้นฟู

1.1 Stroke คืออะไร?

Stroke หรือ โรคหลอดเลือดสมอง เป็นภาวะที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยง เนื่องจากเส้นเลือดตีบ อุดตัน หรือแตก ส่งผลให้สมองบางส่วนขาดออกซิเจน และตายไปในเวลาอันสั้น ผู้ป่วยจึงมีอาการแขนขาอ่อนแรง ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด หรือหมดสติในบางราย

1.2 ประเภทของ Stroke

  • เส้นเลือดสมองตีบ (Ischemic Stroke)
  • เส้นเลือดสมองแตก (Hemorrhagic Stroke)
  • เส้นเลือดสมองอุดตันจากลิ่มเลือด (Transient Ischemic Attack)

1.3 อาการที่พบบ่อย

  • แขนหรือขาอ่อนแรงด้านใดด้านหนึ่ง
  • พูดไม่ชัด สับสน หรือเข้าใจยาก
  • มองเห็นไม่ชัด หรือเห็นภาพซ้อน
  • ปวดศีรษะรุนแรงแบบเฉียบพลัน

2. การฟื้นฟูผู้ป่วย Stroke สำคัญอย่างไร?

2.1 ช่วงเวลาทองของการฟื้นฟู

3-6 เดือนแรกหลังเกิด Stroke คือช่วงเวลาทองในการฟื้นฟูสมรรถภาพ หากได้รับการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องและถูกต้อง จะช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นคืนความสามารถในการเคลื่อนไหว และใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด

2.2 เป้าหมายของการฟื้นฟู

  • เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
  • กระตุ้นระบบประสาท
  • ฝึกการทรงตัวและการเคลื่อนไหว
  • ฟื้นฟูการพูดและการสื่อสาร
  • ลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน

3. ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุเชียงใหม่กับการฟื้นฟูผู้ป่วย Stroke

3.1 ความเชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟู

ที่ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุบ้านลลิสา เรามีทีมกายภาพบำบัด นักกิจกรรมบำบัด และผู้ดูแลผู้สูงอายุที่ได้รับการอบรมเฉพาะทาง พร้อมดูแลฟื้นฟูผู้ป่วย Stroke อย่างใกล้ชิดตามแผนรายบุคคล

3.2 การใช้เครื่องมือฟื้นฟูเฉพาะทาง

  • เครื่องปั่นจักรยานมือ-เท้า
  • อุปกรณ์พยุงเดิน
  • เครื่องกระตุ้นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ
  • ลูกบอล ฝึกมือ และเครื่องมือเสริมอื่น ๆ

3.3 กิจกรรมการฟื้นฟูในชีวิตประจำวัน

  • การฝึกเดิน ฝึกทรงตัว
  • การฝึกใช้มือ หยิบจับสิ่งของ
  • การฝึกกล้ามเนื้อโดยรวม
  • การฝึกสื่อสารและความเข้าใจคำสั่ง

3.4 บรรยากาศที่ส่งเสริมการฟื้นฟู

สถานที่ปลอดโปร่ง มีความเป็นส่วนตัวสูง เน้นความปลอดภัย ความสะดวก และอารมณ์ร่วมของผู้สูงอายุ พร้อมทั้งมีครอบครัวเข้ามามีส่วนร่วมในการฟื้นฟูได้ด้วย

3.5 โปรโมชั่นฟื้นฟูผู้ป่วย Stroke

จากราคาปกติ 25,000 บาท/เดือน พิเศษเพียง 18,000 บาท/เดือน

3.6 สิ่งที่ผู้ป่วยจะได้รับ:

  • การดูแลตลอด 24 ชม. โดยทีมพยาบาลและผู้ช่วย
  • การฟื้นฟูตามแผนรายบุคคล
  • กายภาพบำบัดอย่างสม่ำเสมอ
  • อาหารสุขภาพ 3 มื้อ พร้อมของว่าง
  • การฝึกกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
  • ห้องพักปลอดภัย สะอาด พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก

4. ฟื้นฟู Stroke อย่างไรให้ได้ผล

4.1 ต้องอาศัยเวลาและความสม่ำเสมอ

  • ต้องให้เวลาผู้ป่วยปรับตัว
  • ฝึกเป็นประจำ ไม่หยุดพักนาน
  • ต้องได้รับกำลังใจและแรงสนับสนุนจากคนรอบข้าง

4.2 การติดตามผลอย่างต่อเนื่อง

  • บันทึกความก้าวหน้า
  • ประเมินสมรรถภาพทุกเดือน
  • ปรับแผนการฟื้นฟูตามความเหมาะสม

5. ทำไมต้องฟื้นฟูผู้ป่วย Stroke ที่ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุเชียงใหม่

5.1 จุดเด่นของศูนย์บ้านลลิสา

  • ประสบการณ์ดูแลผู้สูงอายุมากกว่า 10 ปี
  • มีทีมงานเฉพาะทางครบครัน
  • สถานที่ปลอดภัย ใกล้ชิดธรรมชาติ
  • บริการเป็นกันเอง เหมือนดูแลญาติของเราเอง

5.2 รีวิวจากครอบครัวผู้ป่วยจริง

“คุณพ่อป่วย Stroke มาเกือบปี เดินไม่ได้เลย แต่หลังเข้าฟื้นฟูที่นี่ 3 เดือน เริ่มลุกได้เอง ช่วยเหลือตัวเองได้บางส่วน ครอบครัวดีใจมาก ขอบคุณทีมงานจริง ๆ ค่ะ”

การฟื้นฟูผู้ป่วย Stroke ต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ และความเอาใจใส่ หากทำอย่างถูกวิธี จะสามารถพาผู้ป่วยกลับคืนสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้จริง “บ้านลลิสา ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุเชียงใหม่” พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของการพลิกชีวิตให้กับผู้ป่วย Stroke ทุกท่าน ด้วยทีมมืออาชีพ และแผนฟื้นฟูที่เห็นผลจริง

การดูแลอย่างใกล้ชิด ฟื้นฟูครบวงจร ทางเลือกที่ดีที่สุดในการดูแลผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพ

เมื่อผู้สูงวัยในครอบครัวเริ่มต้องการความช่วยเหลือมากขึ้น การเลือกวิธี ดูแลผู้สูงอายุ อย่างถูกต้องจึงเป็นเรื่องสำคัญ ปัจจุบันมีหลายทางเลือก เช่น ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ, เนอร์สซิ่งโฮม หรือการ ดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน แต่สิ่งสำคัญคือการดูแลแบบ “ใกล้ชิดและครบวงจร” ที่ไม่เพียงดูแลร่างกาย แต่ครอบคลุมถึงจิตใจ สังคม และการฟื้นฟูสมรรถภาพ บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจแนวทางดูแลที่ดีที่สุดสำหรับคนที่คุณรัก

1. ทำไมการดูแลผู้สูงอายุต้อง “ใกล้ชิดและครบวงจร”

– เนื่องจากทางครอบครัวอาจไม่มีเวลามากพอ

2. องค์ประกอบของการดูแลผู้สูงอายุแบบฟื้นฟูครบวงจรดูแลด้านร่างกายด้วยกิจกรรมและโภชนาการ

2.1 ดูแลจิตใจและส่งเสริมเหมือนเข้าสังคม

การดูแลจิตใจมีส่วนช่วยลดภาวะซึมเศร้าและความเครียดในผู้สูงอายุได้อย่างมีนัยสำคัญ

2.2 ฟื้นฟูรายบุคคลด้วยแผนเฉพาะ

3. ทางเลือกยอดนิยมในการดูแลผู้สูงอายุ

3.1 การดูแลที่บ้าน: เหมาะสำหรับครอบครัวที่มีเวลา

3.2 ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุแบบครบวงจร

4. ประโยชน์ของการดูแลแบบใกล้ชิดและครบวงจร

4.1 ลดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเรื้อรัง

4.2 เพิ่มคุณภาพชีวิตและความสุขในแต่ละวัน

5. คำแนะนำในการเลือกบริการดูแลผู้สูงอายุ

การเลือกวิธี ดูแลผู้สูงอายุ ที่เหมาะสม เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนที่คุณรัก การดูแลแบบใกล้ชิดและฟื้นฟูครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือในศูนย์ดูแลเฉพาะทาง ล้วนมีบทบาทสำคัญในการเสริมสุขภาพทั้งกายและใจ หากคุณกำลังมองหาบริการที่เหมาะสม ลองเริ่มต้นจากการศึกษาตัวเลือกให้ครอบคลุม และตัดสินใจอย่างรอบคอบ เพื่อให้ช่วงบั้นปลายชีวิตของคนที่คุณรัก เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความสุขอย่างแท้จริง

วิธีป้องกันโรคสมองเสื่อม (Dementia) และอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุ

เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ความเสื่อมของร่างกายและสมองก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก โดยเฉพาะโรค “สมองเสื่อม” และ “อัลไซเมอร์” ที่พบมากในผู้สูงอายุ เป็นโรคที่กระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างรุนแรงทั้งต่อผู้ป่วยและผู้ดูแล การเข้าใจโรค และการป้องกันตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม


1.1 โรคสมองเสื่อม (Dementia) คืออะไร?

โรคสมองเสื่อม คือภาวะที่ความสามารถในการคิด ความจำ การตัดสินใจ และการใช้เหตุผลลดลง ซึ่งกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้ป่วย โดยทั่วไปไม่ได้เป็นโรคเฉพาะโรคใดโรคหนึ่ง แต่อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น พาร์กินสัน เส้นเลือดในสมองตีบ ฯลฯ

1.2 โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s Disease) คืออะไร?

อัลไซเมอร์เป็นชนิดหนึ่งของโรคสมองเสื่อมที่พบได้มากที่สุด เป็นโรคที่เกิดจากการสะสมของโปรตีนผิดปกติในสมอง ทำให้เซลล์สมองเสื่อมลงอย่างช้าๆ จนนำไปสู่การสูญเสียความจำ และการควบคุมตนเอง

2.1 ความจำระยะสั้นลดลง

ลืมสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น ทำให้เกิดการถามคำถามซ้ำ ๆ หรือจำชื่อบุคคลหรือสถานที่ที่คุ้นเคยไม่ได้

2.2 มีปัญหาในการสื่อสาร

หาคำพูดไม่เจอ พูดซ้ำๆ หรือจัดลำดับคำผิด ทำให้มีปัญหาด้านการพูดการสื่อสาร

2.3 สูญเสียความสามารถในการวางแผนหรือแก้ปัญหา

ไม่สามารถจัดการงานง่าย ๆ เช่น จ่ายบิล ทำอาหาร หรือใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าง่าย ๆ ผิดพลาดเกิดการเสียหายได้

2.4 เปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และบุคลิกภาพ

อาจกลายเป็นคนหวาดระแวง ซึมเศร้า หรือขี้โมโหโดยไม่มีเหตุผล เป็นการหาเหตุผลที่เป็นอยู่ไม่เจอ

3.1 อายุ

ความเสี่ยงเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์จะเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะหลังอายุ 65 ปี

3.2 พันธุกรรม

หากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์ จะมีโอกาสในการเกิดโรคนี้สูงขึ้น

3.3 โรคเรื้อรัง

โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และโรคหัวใจล้วนเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์

3.4 พฤติกรรมการใช้ชีวิต

การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ขาดการออกกำลังกาย และนอนหลับไม่เพียงพอ เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ

4.1 กระตุ้นสมองอย่างสม่ำเสมอ

ทำกิจกรรมที่ใช้ความคิด เช่น อ่านหนังสือ เล่นหมากรุก ต่อจิ๊กซอว์ หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพื่อกระตุ้นการทำงานของสมอง

4.2 รักษาสุขภาพร่างกาย

ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 30 นาที เช่น เดิน ว่ายน้ำ หรือรำไทเก๊ก เป็นให้บ่อยอย่างเป็นประจำมากขึ้น

4.3 รับประทานอาหารสมดุล

กินอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผัก ผลไม้ ถั่ว ธัญพืช และปลาทะเล เพื่อให้สารอาหารที่รับประทานเข้าไปบำรุงสมอง ให้มากขึ้น

4.4 นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

การนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวันช่วยให้สมองฟื้นฟูและลดการเสื่อม

4.5 หลีกเลี่ยงความเครียด

ฝึกสมาธิ ทำโยคะ หรือฟังเพลงเพื่อผ่อนคลายจิตใจ จะช่วยลดความเครียดสะสมมากขึ้น

4.6 เข้าสังคมและมีกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น

การพบปะพูดคุยกับผู้อื่นช่วยลดความเสี่ยงของภาวะซึมเศร้าและส่งผลดีต่อการใช้สมองที่ดีขึ้น

4.7 ตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ

การตรวจสุขภาพอย่างเป็นประจำจะช่วยคัดกรองความเสี่ยง และสามารถป้องกันโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้

5.1 การจัดกิจกรรมกระตุ้นสมอง

ศูนย์ดูแลจะมีโปรแกรมกิจกรรมที่ออกแบบมาโดยเฉพาะให้เหมาะแก่ผู้สูงอายุทุกท่าน เช่น เกมความจำ ดนตรีบำบัด หรือกิจกรรมศิลปะ

5.2 การดูแลโภชนาการ

มีเจ้าหน้าที่กำหนดด้านอาหารและคอยดูแลเรื่องอาหารให้ครบถ้วนให้เหมาะกับผู้สูงอายุทุกท่าน

5.3 การส่งเสริมการออกกำลังกาย

มีเจ้าหน้าที่คอยฝึกหรือเจ้าหน้าที่ดูแลการเคลื่อนไหวเบื้องต้น เพื่อส่งเสริมสมรรถภาพทางกายแต่ผู้สูงอายุทุกท่าน

5.4 การดูแลสุขภาพจิต

ผู้สูงอายุจะได้รับการพูดคุย ปรึกษา และส่งเสริมสุขภาพจิตกับเจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่องและเป็นประจำ

5.5 การเฝ้าระวังและคัดกรองภาวะสมองเสื่อม

พยาบาลจะติดตามอาการและสังเกตความผิดปกติทางพฤติกรรมของผู้สูงอายุทุกท่านอย่างใกล้ชิด

บ้านลลิสา Nursing Home – ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุที่คุณวางใจได้

บ้านลลิสา Nursing Home คือศูนย์ดูแลผู้สูงอายุในจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีทีมงานมืออาชีพดูแลผู้สูงอายุแบบองค์รวม ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสมอง พร้อมด้วยกิจกรรมหลากหลายที่ช่วยชะลอการเกิดโรคสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์

โรคสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์สามารถป้องกันได้หากมีการดูแลอย่างเหมาะสม ตั้งแต่การใช้ชีวิตประจำวัน การเลือกอาหาร การออกกำลังกาย จนถึงการได้รับการดูแลจากศูนย์ดูแลผู้สูงอายุที่มีมาตรฐาน บทความนี้หวังว่าจะช่วยให้คุณเข้าใจและพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของผู้สูงวัยได้ดียิ่งขึ้น


#ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ #บ้านลลิสาเชียงใหม่ #โรคสมองเสื่อม #อัลไซเมอร์ #ผู้สูงอายุสุขภาพดี

บทบาทของพยาบาลและการดูแลผู้สูงอายุ ความสำคัญของการดูแลที่มีความเชี่ยวชาญ

การดูแลผู้สูงอายุเป็นหนึ่งในประเด็นที่ได้รับความสำคัญอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากประชากรทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุจึงกลายเป็นแหล่งที่สำคัญในการให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ และเป็นที่ที่พยาบาลและผู้ดูแลมืออาชีพมีบทบาทสำคัญในการดูแลและช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดี

เราจะเจาะลึกถึงบทบาทของพยาบาลและผู้ดูแลมืออาชีพในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ รวมถึงความสำคัญของการดูแลที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อให้มั่นใจว่าผู้สูงอายุได้รับการดูแลที่ครบถ้วน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด

บทบาทของพยาบาลและผู้ดูแลมืออาชีพในการดูแลผู้สูงอายุ

การดูแลผู้สูงอายุต้องการทักษะและความเชี่ยวชาญที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งเป็นหน้าที่ของพยาบาลและผู้ดูแลมืออาชีพในการให้บริการดูแลสุขภาพและช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี การมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญ

1. พยาบาลมืออาชีพกับบทบาทในการดูแลผู้สูงอายุ

พยาบาลมีบทบาทสำคัญในการให้การดูแลผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในเรื่องการดูแลทางการแพทย์ การประเมินสุขภาพ การจัดการกับยา และการเฝ้าระวังอาการที่เกี่ยวข้องกับความเสื่อมสภาพของร่างกาย

1.1 การประเมินสุขภาพและการจัดการยา

พยาบาลจะต้องทำการประเมินสุขภาพของผู้สูงอายุเป็นระยะๆ เพื่อตรวจสอบอาการและความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของร่างกาย เช่น การวัดความดันโลหิต ระดับน้ำตาลในเลือด หรือการตรวจสอบสัญญาณของการเจ็บป่วยที่อาจเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ พยาบาลยังมีหน้าที่ในการจัดการกับยาที่ผู้สูงอายุต้องใช้ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้สูงอายุได้รับยาตามคำสั่งแพทย์อย่างถูกต้องและเหมาะสม

1.2 การเฝ้าระวังอาการและการป้องกันภาวะแทรกซ้อน

หนึ่งในบทบาทสำคัญของพยาบาลคือการเฝ้าระวังและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ในผู้สูงอายุ เช่น ภาวะติดเชื้อ ภาวะขาดสารอาหาร หรือการเกิดแผลกดทับ การตรวจสอบและจัดการกับปัญหาเหล่านี้อย่างทันถ่วงทีจะช่วยป้องกันภาวะที่อาจทำให้ผู้สูงอายุมีสภาพร่างกายที่ย่ำแย่ลง

2. ผู้ดูแลมืออาชีพกับการให้การดูแลอย่างใกล้ชิด

นอกจากพยาบาลแล้ว ผู้ดูแลมืออาชีพยังมีบทบาทสำคัญในการดูแลผู้สูงอายุในชีวิตประจำวัน ทั้งในเรื่องของการช่วยเหลือการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การอาบน้ำ การรับประทานอาหาร การทำกายภาพบำบัด หรือการพาผู้สูงอายุออกกำลังกาย

2.1 การสนับสนุนด้านกายภาพและการเคลื่อนไหว

การดูแลด้านกายภาพเป็นหนึ่งในหน้าที่สำคัญของผู้ดูแลมืออาชีพ เนื่องจากผู้สูงอายุบางคนอาจมีข้อจำกัดทางกายภาพที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถดูแลตัวเองได้ ผู้ดูแลมืออาชีพจึงต้องช่วยเหลือในการเคลื่อนไหวหรือการทำกิจกรรมที่ต้องใช้กำลังกาย เช่น การช่วยพยุงตัว การเปลี่ยนท่าทาง และการดูแลให้ผู้สูงอายุเคลื่อนไหวอย่างปลอดภัยเพื่อลดความเสี่ยงในการล้ม

2.2 การส่งเสริมสภาพจิตใจและการเชื่อมต่อทางสังคม

นอกจากการดูแลทางกายภาพแล้ว ผู้ดูแลมืออาชีพยังมีหน้าที่ในการส่งเสริมสภาพจิตใจของผู้สูงอายุ โดยการพูดคุย ให้กำลังใจ และส่งเสริมการเชื่อมต่อกับสังคมภายนอก เช่น การพาผู้สูงอายุออกไปพบเพื่อนฝูงหรือการจัดกิจกรรมสันทนาการ การส่งเสริมด้านนี้จะช่วยให้ผู้สูงอายุรู้สึกมีคุณค่า และลดความเสี่ยงของการเป็นโรคซึมเศร้า

3. ความสำคัญของการดูแลที่มีความเชี่ยวชาญในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ

การดูแลผู้สูงอายุไม่เพียงแต่ต้องใช้ทักษะพื้นฐานในการดูแลทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังต้องการความเชี่ยวชาญในการดูแลทางการแพทย์ การป้องกันปัญหาสุขภาพ และการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและมีสุขภาพจิตดี

3.1 การป้องกันและการดูแลเชิงป้องกัน

การป้องกันโรคและการจัดการกับปัญหาสุขภาพล่วงหน้าเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลผู้สูงอายุ พยาบาลและผู้ดูแลมืออาชีพจึงต้องมีความรู้ความสามารถในการระบุความเสี่ยงและการป้องกัน เช่น การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ การฉีดวัคซีนที่เหมาะสม และการแนะนำให้ผู้สูงอายุปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องตามแนวทางการดูแลสุขภาพ

3.2 การจัดการกับโรคเรื้อรังและการฟื้นฟูสุขภาพ

ผู้สูงอายุหลายคนอาจมีโรคเรื้อรังเช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคข้อเสื่อม การดูแลผู้สูงอายุที่มีโรคเรื้อรังจำเป็นต้องใช้ความรู้เฉพาะทางในการจัดการกับโรคเหล่านี้อย่างเหมาะสม เช่น การดูแลเรื่องการรับประทานอาหาร การทำกายภาพบำบัด และการติดตามการรักษาของแพทย์

4. การสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการดูแลในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ

การสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีเป็นปัจจัยสำคัญในการดูแลผู้สูงอายุให้มีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดี พยาบาลและผู้ดูแลต้องมีบทบาทในการสร้างสภาพแวดล้อมที่สะอาด ปลอดภัย และเอื้ออำนวยต่อสุขภาพจิตและสุขภาพกายของผู้สูงอายุ

4.1 การสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและสะอาด

การดูแลเรื่องความสะอาดและการจัดการสภาพแวดล้อมเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุที่มีผู้สูงอายุหลายคนอยู่ร่วมกัน ผู้ดูแลจะต้องทำความสะอาดและจัดการกับสิ่งแวดล้อมอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและการเจ็บป่วย

4.2 การสนับสนุนด้านจิตใจและการสร้างสัมพันธ์ที่ดี

นอกจากการดูแลทางกายภาพและการจัดการกับสุขภาพแล้ว การสนับสนุนด้านจิตใจและความสัมพันธ์ทางสังคมก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ผู้สูงอายุมักจะเผชิญกับความเหงาและความวิตกกังวล ผู้ดูแลจึงต้องสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเอง พูดคุย และให้ความสำคัญกับความรู้สึกของผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่อง

===== ===== ===== ===== =====

สนใจติดต่อ/สอบถามรายละเอียด

• โทร. 053-855008 , 088-2591895

• Line : https://lin.ee/cJwaF2g

หรือ @baanlalisacm (มี @)

? เเผนที่ : https://goo.gl/maps/6GXQPqhvgZ1aMWLS7

#ผู้ป่วยติดเตียง#เนิร์สซิ่งโฮมเชียงใหม่#NursingHome#NursingHomeเชียงใหม่#ChiangMaiNursingHome#ดูเเลผู้ป่วยครบวงจร#บ้านลลิสาจังหวัดเชียงใหม่#ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุเเละผู้ป่วยระยะพักฟื้น#ดูแลผู้สูงอายุ#ดูแลผู้สูงอายุเชียงใหม่#Dementia#Alzheimer#Stroke#ดูแลผู้ป่วยติดเตียง#ดูแลผู้สูงอายุเชียงใหม่#กิจกรรมดูแลผู้สูงอายุ

การดูแลสุขภาพจิตผู้สูงอายุ การสร้างความสุขและลดความเหงาในผู้สูงอายุ

การดูแลสุขภาพจิตของผู้สูงอายุเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้การดูแลสุขภาพร่างกาย ผู้สูงอายุจำนวนมากเผชิญกับปัญหาความเหงาและความเศร้าซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ สังคม และการสูญเสียคนใกล้ชิด การมีศูนย์ดูแลผู้สูงอายุที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตสามารถช่วยลดปัญหาเหล่านี้ได้ บทความนี้จะอธิบายถึงการดูแลสุขภาพจิตผู้สูงอายุและแนวทางสร้างความสุข ลดความเหงา รวมถึงความสำคัญของการเลือกศูนย์ดูแลผู้สูงอายุที่ดี

ความสำคัญของการดูแลสุขภาพจิตในผู้สูงอายุ

สุขภาพจิตของผู้สูงอายุเป็นเรื่องที่ต้องได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากสภาวะจิตใจที่ดีมีผลต่อคุณภาพชีวิต สุขภาพร่างกาย และความสามารถในการใช้ชีวิตประจำวัน การที่ผู้สูงอายุได้รับการดูแลสุขภาพจิตอย่างเหมาะสมจะช่วยลดความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า ซึ่งมักพบมากในช่วงวัยนี้

ปัจจัยที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตผู้สูงอายุ

  1. การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ: การเสื่อมสภาพของร่างกายเป็นสิ่งที่ผู้สูงอายุต้องเผชิญ สิ่งนี้ส่งผลให้ผู้สูงอายุรู้สึกสูญเสียความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน ซึ่งอาจนำไปสู่ความเครียดและความหดหู่
  2. การเปลี่ยนแปลงทางสังคม: การเกษียณ การสูญเสียคนรัก และการแยกตัวออกจากครอบครัว ทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกเหงา การขาดการสื่อสารกับคนอื่นอาจทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้
  3. โรคประจำตัวและการรักษา: โรคเรื้อรังที่เกิดขึ้นในวัยสูงอายุ เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน หรือภาวะสมองเสื่อม อาจทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกท้อแท้และสิ้นหวัง

แนวทางในการดูแลสุขภาพจิตผู้สูงอายุ

การดูแลทางด้านจิตใจและอารมณ์

  1. การให้ความสำคัญกับความต้องการของผู้สูงอายุ
    การฟังและเข้าใจความรู้สึกของผู้สูงอายุเป็นเรื่องสำคัญ การให้เวลาและโอกาสให้ผู้สูงอายุได้แสดงออกถึงความรู้สึกจะช่วยให้เขารู้สึกว่าเขายังมีค่าและเป็นที่รัก
  2. การสนับสนุนทางสังคม
    การสนับสนุนจากครอบครัวและเพื่อนๆ มีความสำคัญอย่างยิ่ง การเยี่ยมเยียน การพูดคุย และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ช่วยให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่าเขายังเป็นส่วนหนึ่งของสังคม การที่ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุมีการจัดกิจกรรมกลุ่มเป็นประจำยังช่วยส่งเสริมให้ผู้สูงอายุได้พบปะผู้คนใหม่ๆ และลดความรู้สึกโดดเดี่ยว
  3. การเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อความบันเทิงและการเรียนรู้
    กิจกรรมที่สร้างความสนุกสนานและส่งเสริมการเรียนรู้ เช่น การเล่นเกม การร้องเพลง หรือการฝึกทักษะใหม่ๆ ช่วยให้ผู้สูงอายุรู้สึกมีพลังและกระตือรือร้นในการมีชีวิต กิจกรรมเหล่านี้สามารถช่วยลดภาวะซึมเศร้าและเพิ่มความสุขในชีวิตได้
  4. การให้คำปรึกษาและการสนับสนุนทางจิตวิทยา
    การพูดคุยกับนักจิตวิทยาหรือผู้เชี่ยวชาญสามารถช่วยให้ผู้สูงอายุได้แสดงออกถึงความรู้สึกที่ซับซ้อนและได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมในการจัดการกับปัญหาสุขภาพจิต

การดูแลสุขภาพจิตในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ

ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุมีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในด้านการสร้างความสุขและลดความเหงา ศูนย์ดูแลที่ดีควรมีการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพจิตอย่างหลากหลาย เช่น การทำกิจกรรมกลุ่ม กิจกรรมทางศาสนา หรือการจัดกิจกรรมพิเศษในวันสำคัญ นอกจากนี้ การมีผู้ดูแลที่เข้าใจและใส่ใจความต้องการของผู้สูงอายุจะช่วยเสริมสร้างความรู้สึกปลอดภัยและผ่อนคลายให้กับผู้สูงอายุ


วิธีสร้างความสุขและลดความเหงาในผู้สูงอายุ

การสร้างความสุขให้ผู้สูงอายุ

  1. สร้างกิจวัตรประจำวันที่มีความสุข
    การสร้างกิจวัตรประจำวันที่ผู้สูงอายุสามารถทำได้ด้วยตัวเอง เช่น การดูแลสวน การอ่านหนังสือ หรือการฟังเพลงโปรด เป็นการสร้างความสุขเล็กๆ ในชีวิตประจำวัน ที่สำคัญคือการให้ผู้สูงอายุได้เลือกทำสิ่งที่เขาชอบ จะช่วยให้เขารู้สึกเป็นอิสระและพอใจในชีวิต
  2. การส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีส่วนร่วมในสังคม
    การให้ผู้สูงอายุมีโอกาสได้ทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่น เช่น การออกกำลังกายเบาๆ การเข้าร่วมกลุ่มสนทนาหรือกลุ่มศาสนา จะช่วยให้ผู้สูงอายุรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนและลดความรู้สึกเหงา

การลดความเหงาในผู้สูงอายุ

  1. การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว
    ความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวเป็นปัจจัยสำคัญในการลดความเหงาของผู้สูงอายุ การเยี่ยมเยียนบ่อยๆ การโทรศัพท์พูดคุยหรือส่งข้อความให้กำลังใจจะช่วยให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่าเขายังมีคนที่รักและห่วงใย
  2. การใช้เทคโนโลยีเพื่อการสื่อสาร
    ในปัจจุบัน เทคโนโลยีช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถติดต่อสื่อสารกับครอบครัวและเพื่อนฝูงได้ง่ายขึ้น การสอนให้ผู้สูงอายุใช้เทคโนโลยีเช่น โทรศัพท์มือถือ หรือแอปพลิเคชันวิดีโอคอล จะช่วยลดความเหงาได้เป็นอย่างดี
  3. การมีสัตว์เลี้ยง
    การมีสัตว์เลี้ยงเช่น สุนัขหรือแมว สามารถช่วยลดความเหงาของผู้สูงอายุได้ สัตว์เลี้ยงไม่เพียงแต่เป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ แต่ยังช่วยสร้างความรู้สึกอบอุ่นและมีชีวิตชีวาในบ้าน

การเลือกศูนย์ดูแลผู้สูงอายุที่ใส่ใจสุขภาพจิต

การเลือกศูนย์ดูแลผู้สูงอายุที่ดีควรพิจารณาจากปัจจัยหลายประการ เช่น ความสะดวกสบายของสถานที่ บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ และโปรแกรมการดูแลสุขภาพจิตที่หลากหลาย ศูนย์ดูแลที่มีการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพจิตเป็นประจำจะช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

สิ่งที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ

  1. สถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก
    ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุควรมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพียงพอและทันสมัย เช่น พื้นที่สำหรับการทำกิจกรรมกลางแจ้ง ห้องพักที่สะดวกสบาย และสถานที่สำหรับทำกิจกรรมทางจิตวิญญาณ
  2. ความเชี่ยวชาญของบุคลากร
    บุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องสุขภาพจิตของผู้สูงอายุและมีทักษะในการดูแลทั้งด้านร่างกายและจิตใจจะช่วยให้ผู้สูงอายุรู้สึกปลอดภัยและมีความสุขมากขึ้น
  3. โปรแกรมการดูแลสุขภาพจิต
    ศูนย์ที่มีโปรแกรมการดูแลสุขภาพจิตอย่างครบวงจร เช่น การให้คำปรึกษาจากนักจิตวิทยา การจัดกิจกรรมกลุ่ม และการให้ความสำคัญกับการสร้างสภาพแวดล้อมที่อบอุ่น จะช่วยลดความเครียดและเพิ่มความสุขให้ผู้สูงอายุได้

สรุป


การดูแลสุขภาพจิตของผู้สูงอายุเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญไม่แพ้สุขภาพร่างกาย การสร้างความสุขและลดความเหงาในผู้สูงอายุสามารถทำได้ด้วยการให้ความสำคัญกับความต้องการของผู้สูงอายุ การสร้างกิจกรรมที่เหมาะสม และการสนับสนุนจากครอบครัวและสังคม การเลือกศูนย์ดูแลผู้สูงอายุที่ดีซึ่งมีการดูแลสุขภาพจิตอย่างใส่ใจเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุขมากขึ้น

สนใจติดต่อ/สอบถามรายละเอียด

• โทร. 053-855008 , 088-2591895

• Line : https://lin.ee/cJwaF2g

หรือ @baanlalisacm (มี @)

? เเผนที่ : https://goo.gl/maps/6GXQPqhvgZ1aMWLS7

” อัลไซเมอร์ ” รับมืออย่างไร? ให้ไหวทั้งคนดูแลและผู้ป่วย

การดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์ต้องใช้ความอดทนและความเข้าใจอย่างมาก เรามีวิธีการรับมือที่จะช่วยให้ทั้งคุณและผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น ดังนี้

✧ ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโรค และวางแผนการดูแล
» ต้องวางแผนการดูแลที่ครอบคลุม ทั้งด้านการเงิน จิตใจที่ต้องพร้อมกับสิ่งที่จะเกิด สภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย ภายใต้ความรู้ความเข้าใจในตัวโรค เพื่อให้สามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะโรคอัลไซเมอร์ไม่ใช่แค่โรคที่สูญเสียความทรงจำ แต่ยังกระทบต่ออารมณ์ และความรู้สึก

✧ มอบความรักและพูดคุยกับผู้ป่วยอยู่เสมอ
» การมอบความรัก การเอาใจใส่ ไม่ว่าจะเป็นการกอด พูดคุย และการใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวล ท่าทางที่เป็นมิตร เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัย หากเป็นการคะยั้นคะยอมากเกิน อาจจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการหงุดหงิด

✧ หลีกเลี่ยงการโต้เถียง
» การดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์ บางครั้งที่สื่อสาร อาจทำให้เกิดความหงุดหงิดใจทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าผู้ป่วยจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด ให้หลีกเลี่ยงการโต้เถียง และเปลี่ยนจุดสนใจใหม่ด้วยการชวนทำกิจกรรมที่คุ้นเคยและผู้ป่วยชอบ

✧ วางแผนการทำกิจกรรมในแต่ละวัน
» ในกรณีที่ตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะแรกๆ ควรกำหนดตารางกิจวัตรประจำวันให้เหมือนกันในทุกวัน สิ่งเหล่านี้จะช่วยชะลอความเสื่อมของสมองผู้ป่วยได้ ไม่ควรเปลี่ยนไปมาหรือเพิ่มเติมเยอะเกินไปจนผู้ป่วยรู้สึกสับสน

✧ จัดการปรับสภาพแวดล้อมภายในบ้าน
ให้ปลอดภัยและไม่เปลี่ยนบ่อยๆ
» จัดระเบียบพื้นที่ให้ดี ไม่วางของเกะกะ และไม่เปลี่ยนการจัดวางบ่อยๆ เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัย ไม่หวาดระแวง และจำจุดที่เคยใช้งานได้ อีกทั้งเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ

✧ จิตใจของผู้ดูแล
» ดูแลใส่ใจผู้ป่วยแล้ว ผู้ดูแลอย่าลืมให้ความสำคัญกับสุขภาพกายและใจของตัวเองด้วย เพราะการดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์อาจสร้างความเครียดให้ไม่น้อย ควรหาเวลาให้ตัวเอง ได้ทำกิจกรรมที่รัก หากรู้สึกเครียดและกดดัน ไม่สามารถพูดคุยกับใครได้ การปรึกษาขอคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคอัลไซเมอร์ เป็นอีกทางเลือกที่ดีทั้งสำหรับผู้ดูแลและผู้ป่วย

?‍⚕️ หากมีความกังวลใจในการดูแล ติดต่อบ้านลลิสาเลยค่ะ
เราพร้อมมอบความมั่นใจในการบริการ การดูแล ?
ด้วยมาตรฐานระดับสูง และบุคคลากรที่เป็นมืออาชีพ
===== ===== ===== ===== =====
สนใจติดต่อ/สอบถามรายละเอียด

  • โทร. 053-855008 , 088-2591895
  • Line : https://lin.ee/cJwaF2g
    หรือ @baanlalisacm (มี @)
    ? เเผนที่ : https://goo.gl/maps/6GXQPqhvgZ1aMWLS7

#บ้านลลิสา #เนิร์สซิ่งโฮมเชียงใหม่ #NursingHome #NursingHomeเชียงใหม่ #ChiangMaiNursingHome #ดูเเลผู้ป่วยครบวงจร #บ้านลลิสาจังหวัดเชียงใหม่ #ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุเเละผู้ป่วยระยะพักฟื้น #ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ #การดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์

กิจกรรมผู้สูงอายุในการทำหมูปิ้งและประโยชน์ผู้สูงวัยในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ

กิจกรรมทำหมูปิ้งสำหรับผู้สูงอายุไม่เพียงเป็นการสืบสานวัฒนธรรมไทย แต่ยังช่วยเสริมสร้างสุขภาพกายและจิตใจ พร้อมประโยชน์ที่ช่วยกระตุ้นสมองและสังคมสำหรับผู้สูงวัยในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ

การดูแลผู้สูงอายุไม่ได้เป็นเพียงการจัดการสุขภาพร่างกายเท่านั้น แต่ยังต้องใส่ใจด้านจิตใจและสังคมของผู้สูงวัยด้วย กิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างความสุขและการมีส่วนร่วมของผู้สูงอายุมีหลากหลายรูปแบบ หนึ่งในกิจกรรมที่น่าสนใจและเป็นที่นิยมในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุหลายแห่งคือการทำหมูปิ้ง กิจกรรมนี้ไม่เพียงเป็นการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์และทักษะการใช้มือ แต่ยังเป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและสร้างความทรงจำที่ดีให้กับผู้สูงอายุ

เราจะพาไปสำรวจเกี่ยวกับกิจกรรมการทำหมูปิ้งที่ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ประโยชน์ของการทำกิจกรรมนี้ต่อสุขภาพกาย จิตใจ และสังคมของผู้สูงวัย รวมถึงวิธีการนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

1. กิจกรรมการทำหมูปิ้งสำหรับผู้สูงอายุคืออะไร?

การทำหมูปิ้งเป็นกิจกรรมที่มีความเรียบง่ายและสามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ซับซ้อน นอกจากจะเป็นหนึ่งในอาหารยอดนิยมของไทยแล้ว การทำหมูปิ้งยังสามารถเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุได้ใช้เวลาร่วมกับครอบครัวหรือเพื่อนร่วมกลุ่มในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ นับว่าเป็นกิจกรรมที่สร้างสรรค์และมีความผูกพันทางวัฒนธรรมไทย

ทำไมกิจกรรมทำหมูปิ้งถึงเหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ?

  1. ความง่ายในการทำ
    หมูปิ้งเป็นอาหารที่ไม่ซับซ้อน ทำให้ผู้สูงอายุสามารถทำได้ด้วยตนเองโดยมีผู้ช่วยเพียงเล็กน้อย เช่น การเตรียมเนื้อหมู การหมักเนื้อ และการเสียบไม้ การทำขั้นตอนเหล่านี้ช่วยพัฒนาทักษะทางกลไกและการเคลื่อนไหวของมือ
  2. การสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
    การทำหมูปิ้งเป็นกิจกรรมที่ทำร่วมกันในกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมเนื้อ การเสียบไม้ หรือการปิ้งหมู ผู้สูงอายุจะได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และสนทนากัน ซึ่งเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในกลุ่มและลดความเหงา
  3. การเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมไทย
    หมูปิ้งเป็นอาหารที่มีประวัติยาวนานในวัฒนธรรมไทย การทำหมูปิ้งจึงช่วยให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่าได้มีส่วนร่วมในการสืบสานวัฒนธรรมอันดีงาม และยังเป็นการเชื่อมโยงระหว่างอดีตกับปัจจุบัน

2. ประโยชน์ของกิจกรรมทำหมูปิ้งต่อผู้สูงอายุ

กิจกรรมทำหมูปิ้งไม่เพียงแต่เป็นกิจกรรมที่สร้างความสนุกสนาน แต่ยังมีประโยชน์หลายด้านสำหรับผู้สูงอายุ ทั้งในด้านสุขภาพกาย สุขภาพจิตใจ และสังคม

ประโยชน์ด้านสุขภาพกาย

2.1 การพัฒนาทักษะการใช้มือและประสาทสัมผัส

การเตรียมเนื้อหมู การหมัก และการเสียบไม้ ล้วนแต่เป็นกิจกรรมที่ต้องใช้ทักษะการเคลื่อนไหวของมือและนิ้ว ซึ่งเป็นการช่วยกระตุ้นระบบประสาทสัมผัสและการประสานงานของกล้ามเนื้อมือและตาในผู้สูงอายุ การทำกิจกรรมเหล่านี้ช่วยให้ผู้สูงอายุมีความสามารถในการควบคุมการเคลื่อนไหวของมือได้ดีขึ้น และลดความเสี่ยงของภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง

2.2 การออกกำลังกายเบาๆ

แม้การทำหมูปิ้งจะไม่ได้ใช้พลังงานมาก แต่การเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง เช่น การหยิบจับ การเสียบไม้ หรือการจัดการเตาไฟ ก็ถือเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยกระตุ้นระบบการไหลเวียนโลหิตและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับร่างกาย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มีปัญหาด้านการเคลื่อนไหว

3. ประโยชน์ด้านสุขภาพจิตใจ

3.1 การลดความเครียดและความเหงา

กิจกรรมการทำหมูปิ้งเป็นกิจกรรมที่สามารถทำร่วมกับผู้อื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนๆ ในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุหรือครอบครัว การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเหล่านี้ช่วยลดความเหงาและความรู้สึกโดดเดี่ยวในผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพจิต

3.2 การเสริมสร้างความมั่นใจและความภาคภูมิใจ

การที่ผู้สูงอายุสามารถทำกิจกรรมการทำหมูปิ้งได้สำเร็จด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมวัตถุดิบหรือการปิ้งหมูที่สุกอร่อย เป็นการเสริมสร้างความมั่นใจในตนเอง และรู้สึกว่าตนเองยังมีความสามารถในการทำสิ่งต่างๆ ได้

4. ประโยชน์ด้านสังคมและความสัมพันธ์

4.1 การสร้างความสัมพันธ์และการสื่อสาร

การทำกิจกรรมร่วมกันเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุด้วยกัน หรือครอบครัวที่มาร่วมกิจกรรม การสนทนาระหว่างทำกิจกรรมช่วยให้เกิดความผูกพันที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

4.2 การส่งเสริมการทำงานเป็นทีม

การทำหมูปิ้งต้องมีการแบ่งหน้าที่กันในกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมวัตถุดิบหรือการปิ้งหมู การทำงานร่วมกันเป็นทีมช่วยเสริมสร้างทักษะการสื่อสารและการทำงานร่วมกันระหว่างผู้สูงอายุในกลุ่ม ทำให้เกิดความสามัคคีและการเรียนรู้การทำงานเป็นทีม


**การนำกิจกรรมทำหมูปิ้งไปปรับใช้ในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ**

การนำกิจกรรมทำหมูปิ้งมาใช้ในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุเป็นวิธีที่ดีในการสร้างความสุขและความร่วมมือในกลุ่มผู้สูงอายุ กิจกรรมนี้สามารถจัดได้ทั้งในสถานที่ที่มีพื้นที่กลางแจ้งหรือในพื้นที่ในร่มที่มีการจัดเตรียมอย่างปลอดภัย

การเตรียมการสำหรับกิจกรรม

1. การเตรียมวัตถุดิบ วัตถุดิบที่ใช้ในการทำหมูปิ้ง เช่น เนื้อหมู เครื่องปรุงรส และไม้เสียบ ควรมีการเตรียมให้เหมาะสมกับการใช้ในกิจกรรม โดยควรเลือกเนื้อหมูที่นุ่มและไม่มีชิ้นใหญ่เกินไป เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถทำงานได้สะดวก

2. การเตรียมอุปกรณ์และสถานที่อุปกรณ์ที่ใช้ควรมีความปลอดภัย เช่น เตาไฟฟ้าหรือเตาย่างที่ไม่ร้อนจนเกินไป มีการจัดเตรียมพื้นที่ให้สะดวกต่อการทำกิจกรรม และมีการเฝ้าระวังเพื่อความปลอดภัยในทุกขั้นตอน

การสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรและผ่อนคลาย บรรยากาศที่ดีเป็นสิ่งสำคัญในการทำกิจกรรม โดยควรมีการจัดพื้นที่ที่ให้ผู้สูงอายุสามารถนั่งหรือยืนทำงานได้อย่างสะดวก มีเพลงเบาๆ หรือการสนทนาเพื่อเสริมสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย


สรุป

กิจกรรมการทำหมูปิ้งเป็นกิจกรรมที่เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยประโยชน์สำหรับผู้สูงอายุ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทักษะทางกาย การเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางสังคม หรือการลดความเครียดและความเหงา กิจกรรมนี้ยังเป็นการส่งเสริมการสืบสานวัฒนธรรมไทยและช่วยเสริมสร้างสุขภาพกาย

สนใจติดต่อ/สอบถามรายละเอียด

• โทร. 053-855008 , 088-2591895

• Line : https://lin.ee/cJwaF2g

หรือ @baanlalisacm (มี @)

? เเผนที่ : https://goo.gl/maps/6GXQPqhvgZ1aMWLS7

#ผู้ป่วยติดเตียง#เนิร์สซิ่งโฮมเชียงใหม่#NursingHome#NursingHomeเชียงใหม่#ChiangMaiNursingHome

#ดูเเลผู้ป่วยครบวงจร#บ้านลลิสาจังหวัดเชียงใหม่

#ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุเเละผู้ป่วยระยะพักฟื้น

อาหารที่ดีสำหรับผู้สูงอายุ เลือกอย่างไรให้เหมาะสม

การดูแลสุขภาพในวัยสูงอายุเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะการรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายที่เปลี่ยนไป การเลือกอาหารที่ดีสำหรับผู้สูงอายุไม่เพียงแต่ช่วยให้พวกเขาได้รับสารอาหารที่เพียงพอ แต่ยังช่วยป้องกันโรคต่าง ๆ และส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอีกด้วย ดังนั้นการรู้วิธีเลือกอาหารที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่ผู้ดูแลและผู้สูงอายุควรให้ความสำคัญ

1. โปรตีนคุณภาพดีเพื่อรักษามวลกล้ามเนื้อ

เมื่ออายุมากขึ้น มวลกล้ามเนื้อของร่างกายจะลดลง ซึ่งส่งผลต่อความแข็งแรงของร่างกาย การได้รับโปรตีนที่เพียงพอจะช่วยชะลอการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อและรักษาความแข็งแรงของร่างกาย

  • แหล่งโปรตีนที่ดี: เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ปลา ไข่ นม ถั่ว และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้
  • คำแนะนำ: รับประทานโปรตีนในทุกมื้ออาหารเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

2. คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนเพื่อพลังงานที่ยาวนาน

ผู้สูงอายุควรรับประทานคาร์โบไฮเดรตที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ซึ่งช่วยให้พลังงานแก่ร่างกายอย่างต่อเนื่อง และยังมีใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่ายและควบคุมน้ำตาลในเลือด

  • แหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ดี: ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ขนมปังโฮลวีต มันฝรั่ง และผักต่าง ๆ
  • คำแนะนำ: หลีกเลี่ยงคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว เช่น น้ำตาล ขนมหวาน หรือขนมปังขัดสี ซึ่งอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นลงอย่างรวดเร็ว

3. ใยอาหารเพื่อการย่อยที่ดี

ใยอาหารมีบทบาทสำคัญในการช่วยการย่อยอาหาร ลดปัญหาท้องผูก และส่งเสริมสุขภาพของลำไส้ นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดคอเลสเตอรอล

  • แหล่งใยอาหารที่ดี: ผักและผลไม้ที่มีใยอาหารสูง เช่น แอปเปิ้ล เบอร์รี่ กล้วย ผักใบเขียว ถั่วและเมล็ดธัญพืช
  • คำแนะนำ: รับประทานผักและผลไม้หลากหลายสีในทุกมื้ออาหารเพื่อให้ได้ใยอาหารที่เพียงพอ

4. ไขมันดีเพื่อสุขภาพหัวใจ

ไขมันเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่ควรเลือกไขมันที่ดีต่อสุขภาพเพื่อป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้สูงอายุควรลดการบริโภคไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ ซึ่งมีในอาหารทอดหรืออาหารแปรรูป

  • แหล่งไขมันดี: อะโวคาโด ถั่ว น้ำมันมะกอก และปลาไขมันสูง เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล
  • คำแนะนำ: หลีกเลี่ยงการบริโภคไขมันจากเนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูง หรืออาหารที่ทอดในน้ำมันมาก ๆ

5. แคลเซียมและวิตามินดีเพื่อกระดูกแข็งแรง

ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียมวลกระดูกและเกิดโรคกระดูกพรุน การได้รับแคลเซียมและวิตามินดีเพียงพอจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อรักษาความแข็งแรงของกระดูก

  • แหล่งแคลเซียมที่ดี: นม โยเกิร์ต ชีส ปลาเล็กปลาน้อย เต้าหู้ และผักใบเขียว เช่น ผักคะน้า
  • แหล่งวิตามินดี: ปลาไขมันสูง เห็ด และแสงแดด
  • คำแนะนำ: ผู้สูงอายุควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงและรับแสงแดดประมาณ 10-15 นาทีต่อวันเพื่อให้ร่างกายสร้างวิตามินดีได้เพียงพอ

6. น้ำเพียงพอเพื่อการทำงานของร่างกายที่ดี

การดื่มน้ำให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากผู้สูงอายุอาจมีความไวต่อการขาดน้ำลดลง ทำให้เสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำที่ส่งผลต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย

  • คำแนะนำ: ควรดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว หรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย หากไม่ชอบดื่มน้ำเปล่า อาจดื่มน้ำผลไม้สดหรือชาสมุนไพรเพื่อเพิ่มความหลากหลาย

7. วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น

ผู้สูงอายุอาจมีการดูดซึมวิตามินและแร่ธาตุลดลง การเสริมสารอาหารบางชนิดจึงมีความสำคัญ เช่น วิตามินบี12 ซึ่งช่วยในกระบวนการสร้างเซลล์เม็ดเลือดและรักษาระบบประสาท

  • แหล่งวิตามินบี12: เนื้อสัตว์ ปลา นม และไข่
  • คำแนะนำ: ผู้สูงอายุที่ทานมังสวิรัติอาจต้องเสริมวิตามินบี12 หรือปรึกษาแพทย์เรื่องการเสริมวิตามินเพิ่มเติม

8. การลดโซเดียมเพื่อสุขภาพหัวใจ

การบริโภคโซเดียมมากเกินไปอาจทำให้ความดันโลหิตสูงและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ การลดการใช้เกลือหรือเครื่องปรุงรสที่มีโซเดียมสูงจะช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าว

  • คำแนะนำ: ควรเลือกใช้เครื่องปรุงรสธรรมชาติ เช่น มะนาว หรือสมุนไพรเพื่อเพิ่มรสชาติในอาหารแทนการใช้เกลือ

สรุป

การเลือกอาหารที่ดีสำหรับผู้สูงอายุควรเน้นที่การได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายที่เปลี่ยนไป และลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันหรือโซเดียมสูง การเลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพที่ดีขึ้น แต่ยังช่วยให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีและใช้ชีวิตประจำวันอย่างมีความสุข

? บ้านลลิสา สาขาเชียงใหม่ เราดูแลทุกท่านเหมือนคนในครอบครัว
===== ===== ===== ===== =====
สนใจติดต่อ/สอบถามรายละเอียด
• โทร. 053-855008 , 088-2591895
• Line : https://lin.ee/cJwaF2g
หรือ @baanlalisacm (มี @)

การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อม สิ่งที่ควรรู้

ภาวะสมองเสื่อม (Dementia) เป็นภาวะที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของสมอง ส่งผลให้เกิดการสูญเสียความสามารถในการคิด ความจำ และการตัดสินใจ ภาวะนี้เป็นเรื่องที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่อายุมากกว่า 65 ปี การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมจึงเป็นสิ่งที่ต้องการความเข้าใจ ความอดทน และการปรับตัวอย่างเหมาะสม เพื่อให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด นี่คือสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อม

1. ความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะสมองเสื่อม

ภาวะสมองเสื่อมไม่ใช่โรคเดียว แต่เป็นกลุ่มของอาการที่เกิดจากโรคต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อสมอง เช่น โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) และโรคหลอดเลือดสมอง (Vascular dementia) อาการที่พบได้บ่อยคือ การสูญเสียความทรงจำ ความสามารถในการสื่อสารลดลง และการสับสนในเรื่องเวลาและสถานที่ อาการเหล่านี้จะทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้น ผู้ดูแลต้องมีความรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของผู้สูงอายุในแต่ละระยะ เพื่อเตรียมตัวในการดูแลอย่างเหมาะสม

2. การสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย

ผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมอาจมีความสับสนและหลงลืมเรื่องสำคัญ เช่น ที่อยู่ของตนเอง หรือวิธีการใช้สิ่งของรอบตัว การปรับสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อผู้สูงอายุจึงเป็นสิ่งสำคัญ เช่น

1. จัดบ้านให้เรียบง่าย ไม่มีสิ่งกีดขวางหรือของที่เป็นอันตราย

2. ติดตั้งราวจับในห้องน้ำหรือทางเดิน

3. ล็อกประตูหรือหน้าต่างในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม เพื่อป้องกันการเดินหลงออกไปข้างนอก การดูแลเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บและอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น

3. การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ

การสื่อสารกับผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมอาจต้องใช้วิธีการที่แตกต่างออกไป เนื่องจากผู้ป่วยอาจประสบปัญหาด้านการเข้าใจภาษาและการแสดงออก ผู้ดูแลควร:

1. พูดช้า ๆ และให้เวลาผู้สูงอายุในการตอบสนอง

2.ใช้ประโยคที่สั้นและชัดเจน

3.ใช้ภาษากายและท่าทางเพื่อช่วยในการสื่อสาร

4.หลีกเลี่ยงการแสดงอารมณ์หงุดหงิด เพราะอาจทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกกดดัน

4. การจัดการกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลง

ผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมอาจแสดงพฤติกรรมที่ไม่คาดคิด เช่น การก้าวร้าว ความวิตกกังวล หรือการเดินหลงทาง พฤติกรรมเหล่านี้มักเกิดจากความสับสนหรือความเครียด ผู้ดูแลควรมีวิธีจัดการดังนี้:

1.พยายามหาสาเหตุที่ทำให้เกิดพฤติกรรม เช่น ความหิว ความเหนื่อย หรือความไม่สบายตัว

2.รักษาความสงบและอย่าตอบโต้พฤติกรรมด้วยความรุนแรง

3.เบี่ยงเบนความสนใจไปสู่กิจกรรมอื่น ๆ เช่น การเดินเล่น การฟังเพลง หรือการทำงานศิลปะ

5. การดูแลด้านสุขภาพกายและใจ

การดูแลสุขภาพกายของผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมเป็นสิ่งสำคัญ ควรจัดการให้ผู้สูงอายุได้รับอาหารที่เหมาะสม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และมีการตรวจสุขภาพเป็นประจำ นอกจากนี้ การดูแลสุขภาพใจเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย เช่น

1. ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุได้ทำกิจกรรมที่เคยชอบ เช่น การฟังเพลง หรือการทำสวน

2. ให้การสนับสนุนทางอารมณ์และสร้างความรู้สึกปลอดภัย

3. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีและความผูกพันในครอบครัว

6. การพัฒนาทักษะของผู้ดูแล

การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมอาจเป็นภาระที่ท้าทาย ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ดังนั้น ผู้ดูแลควรมีการพัฒนาทักษะและความรู้ เช่น การเข้ารับการฝึกอบรมเกี่ยวกับภาวะสมองเสื่อม หรือการเรียนรู้วิธีจัดการกับพฤติกรรมของผู้ป่วย นอกจากนี้ การสร้างเครือข่ายสนับสนุน เช่น กลุ่มผู้ดูแล หรือการขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยให้ผู้ดูแลรู้สึกได้รับการสนับสนุนและไม่รู้สึกโดดเดี่ยว

7. การขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ

เมื่อภาวะสมองเสื่อมมีความรุนแรงขึ้น การขอคำปรึกษาจากแพทย์หรือนักจิตวิทยาเป็นสิ่งที่ควรทำ เพื่อรับคำแนะนำในการดูแลผู้สูงอายุอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ การใช้บริการของสถานดูแลผู้สูงอายุเฉพาะทางในบางกรณีอาจเป็นทางเลือกที่ดี

การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมต้องการความเอาใจใส่และการจัดการอย่างเป็นระบบ ผู้ดูแลควรเข้าใจลักษณะของภาวะสมองเสื่อมและเตรียมตัวรับมือกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลง การสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ และดูแลสุขภาพกายและใจของผู้สูงอายุอย่างครบถ้วน จะช่วยให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ผู้ดูแลควรดูแลตนเองและขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเมื่อจำเป็น

สนใจติดต่อ/สอบถามรายละเอียด

• โทร. 053-855008,088-2591895

• Line : https://lin.ee/cJwaF2g

หรือ @baanlalisacm (มี @)

? เเผนที่ : https://goo.gl/maps/6GXQPqhvgZ1aMWLS7

” บ้านลลิสา ” ศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียงและอัลไซเมอร์ แบบครบวงจร

หมดห่วงเรื่องการดูแลผู้ป่วยติดเตียง และผู้ป่วยอัลไซเมอร์
ที่ #บ้านลลิสา ยินดีดูแลทุกท่าน เราพร้อมมอบความมั่นใจ
ในการบริการ ดูแล ด้วยมาตรฐานระดับสูง และบุคคลากร
ที่เป็นมืออาชีพ พร้อมดูแลทุกท่านเหมือนกับ ” คนในครอบครัว “

เราให้บริการและโภชณาการครบถ้วน

  • ควบคุม และจัดอาหารตามหลักโภชนาการ
  • พยาบาลวิชาชีพดูแล 24 ชม.
  • มีกิจกรรมคลายเครียดให้ผู้ป่วยได้เข้าร่วม
  • มีเตียงนอนสำหรับผู้ป่วยติดเตียง
  • มีนักกายภาพบำบัดสำหรับผู้ป่วยติดเตียง
  • มีรถเข็นและวีลแชร์ที่มีคุณภาพ
  • ที่พักสะอาด สะดวก และเป็นส่วนตัว
  • สภาพแวดล้อมภายในบ้านดี ปลอดโปร่ง

?‍⚕️ หากมีความกังวลใจในการดูแลผู้ป่วยติดเตียง
หรือผู้ป่วยอัลไซเมอร์ ติดต่อบ้านลลิสาเลยค่ะ
===== ===== ===== ===== =====

สนใจติดต่อ/สอบถามรายละเอียด

  • โทร. 053-855008 , 088-2591895
  • Line : https://lin.ee/cJwaF2g
    หรือ @baanlalisacm (มี @)

? เเผนที่ : https://goo.gl/maps/6GXQPqhvgZ1aMWLS7

ผู้ป่วยติดเตียง #เนิร์สซิ่งโฮมเชียงใหม่ #NursingHome #NursingHomeเชียงใหม่ #ChiangMaiNursingHome

ดูเเลผู้ป่วยครบวงจร #บ้านลลิสาจังหวัดเชียงใหม่ #ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุเเละผู้ป่วยระยะพักฟื้น